วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Operation Red Wing 28 june 2005 :

     





   แม้สหรัฐอเมริกาจะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศ ที่ การทหารมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่หาใช่ว่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสมอไป  บางครั้งพวกเขาได้รับบทเรียนโดยแลกกับ "ชีวิต" ของทหารที่ต้องสูญเสียในการรบ   อาทิ สงครามเวียดนาม  ปฏิบัติการฟื้นฟูความหวังในโซมาเลีย  และเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมานั้นความล้มเหลวได้เป็นที่รับรู้อีกครั้ง เมื่อสมาชิกหน่วย ซีล หน่วยรบพิเศษที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นหน่วยชั้นยอดอันดับต้นๆ ของโลก ต้องสูญเสียสมาชิกฝีมือดีเป็นจำนวนมาก และอาจเป็นการสูญเสียมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การรบของอเมริกา   





      แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้เห็นมุมมอง ในความกล้าหาญและความเสียสละ ของพวกเขาที่มีต่อสหายศึกโดยไม่เกรงกลัวต่อความตายที่รอเบื้องหน้า    ภารกิจนี้มีชื่อ ว่า ปฏิบัติการปีกแดง หรือ Operation Red Wing นั่นเอง 


        ภารกิจ Red Wingคือปฏิบัติการทางทหาร ในการค้นหา จับกุม หรือสังหาร อาร์เหม็ด ชาร์ ผู้นำระดับสูงคนหนึ่งของตาลีบัน โดยขั้นตอนการปฏิบัติการมีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังนี้




จากซ้ายไปขวา  เมอร์ฟี่  ซู  แอ็กซ์เซลสันและ ลูเทร็ลล์ ในชุดลาดตระเวน
  1. แผนการโดยรวม
    1. ขั้นแรก  : ส่งชุดลาดตระเวน เช้าไปสำรวจพื้นที่ ค้นหาและยืนยันการมีตัวตนของเป้าหมาย
    2. ขั้นสอง  : ชุดโจมตี เมื่อได้รับการยืนยันเป้าหมายแล้วจะเข้าโจมตี เป้าหมาย 
    3. ขั้นสาม  : เมื่อการโจมตีเสร็จสิ้น  นาวิกโยธินโดยสนธิกำลังกับกองทัพอัฟกันจะเข้ามาตรวจสอบ พื้นที่ 
    4. ขั้นที่สี่   : นาวิกโยธินโดยสนธิกำลังกับกองทัพอัฟกันเมื่อตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้น  จะเข้าไปจัดชุดช่วยเหลือดูแลพลเรือนในพื้นที่
    5.  ขั้นสุดท้าย :  นาวิกโยธินจะทำการเฝ้าระวังในพื้นที่ 1 เดือน เมื่อไม่มีภัยคุกคามจะถอนตัวออกจากพื้นที่

    แม้แผนการจะวางขั้นตอนไว้อย่างรัดกุม แต่สรรพสิ่งบนโลกย่อมมีการพลิกผันได้ตลอด แต่ความพลิกผันนั้นกลับก่อตัวในขั้นแรก  เสียแล้ว  และนี่คือเหตุการณ์ในวันนั้น 




     คืนวันที่ 27 มิถุนายน 2005 ชุดลาดตระเวน 4 นาย ประกอบด้วย ผู้กองไมค์ เมอร์ฟี่  ,จ่า แม็ทธิว เอ็กซ์เซลสัน , จ่า แดนนี่ ดิ๊ท  และ จ่าโท
    มาร์คัส ลูเทร็ลล์  ได้ถูกส่งตัวโดยเฮลิคอปเตอร์ แบบ MH-47  Chinook  โดยกรมบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160  พวกเขาทั้งสี่ เข้าวางตัวในจุดสังเกตุการณ์ตอนแรกแต่ด้วยปัญหาการระบบสื่อสาร ต้องย้ายไปจุดสังเกตุการณ์ใหม่ 


            Michael Murphy

            Matthew "Axe" Axelson

       
     







                 Danny Dietz


             Marcus Luttrel


    ซึ่งการวางตัวสังเกตุการณ์ของสี่คนเป็นไปได้ด้วยดี ตามกำหนดการแต่แล้วเค้าลางแห่งหายนะมาเยือนเมื่อ ระหว่างการวางตัวในจุดสังเกตุการณ์นั้น บังเอิญมีกลุ่มคนเลี้ยงแพะจำนวนหนึ่งได้เดินเข้ามาในจุดสังเกตุการณ์ของสมาชิกหน่วยซีล  เข้าโดยบังเอิญซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อภารกิจของพวกเขา  ทำให้ซีลสี่นายจึงทำการจับกุมและต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับกลุ่มคนเลี้ยงแพะ เพราะพวกเขาอาจจะเผยการมีตัวตนของทหารอเมริกัน และนั่นหมายถึงการมาของข้าศึกที่จะกรูกันเข้ามาตะลุมบอน  ซึ่งเคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี  1991 ที่ชุดลาดตระเวน รหัส Bravo 2-0 ของหน่วยSAS แหงอังกฤษที่เข้าไปลาดตระเวนหา จรวด SCUDแล้ว จุดสังเกตุการณ์ถูกพบโดยเด็กท้องถิ่น จนส่งผลให้ภารกิจล้มเหลวในที่สุด



     ซีลทั้งสี่จึงถกประชุมกันว่าควรทำอย่างไร ซึ่งแอ็กเซลสันเสนอให้กำจัดทิ้งเพื่อความปลอดภัยด้วยเกรงว่ากลุ่มคนเลี้ยงแพะอาจจะนำข่าวไปบอก กลุ่มของชาห์ก็ได้  แต่ ลูเทร็ลล์ ขอให้ปล่อยเชลยไป  เพราะเชลยเป็นผู้บริสุทธิ์และเห็นว่า การฆ่าเชลยอาจผิดกฎการปะทะ  (Rule Of Engagement) ซึ่งเป็นความผิดวินัยทหารและอาจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถ้าข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่    แม้แอ็กเซลสันจะยืนกรานไม่เห็นด้วยจนเกือบจะทะเลาะ แต่ในที่สุดเมอร์ฟี่กลับ ขอให้ทุกคนตัดสินใจร่วมกัน  ซึ่งตกลงกันว่า จะปล่อยเชลยและถอนตัวให็เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงการปะทะ  


    แต่สายเกินไปเสียแล้ว  เมื่อย้อนกลับไปยังจุดสังเกตุการณ์ตอนแรก พวกเขากลับพบกลุ่มติดอาวุธจำนวนมากเข้าล้อมพื้นที่แล้ว  ซึ่งทั้งสี่ไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจปักหลักต่อสู้   แต่ด้วยจำนวนศัตรูที่มากกว่า หน่วยซีลหลายเท่าตัวประกอบกับความชำนาญพื้นที่  ของเหล่ากองโจรทำให้สี่สมาชิกหน่วยซีลถูกต้อนไปยังเนินเขา พร้อมกับถูกยิงบาดเจ็บแต่ทั้งสี่ก็ยังปักหลักต่อสู้ พร้อมกับร่นถอยไปยังเนินเขาด้วยการกระโดดลงมาเพื่อลงไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ  จนกระทั่งการโดดครั้งที่ 2 แดนนี่ ดิ๊ทซ์ พลสื่อสารประจำทีม เสียชีวิตในหน้าที่  

       การถอนตัวที่เต็มไปด้วยคามเสียเปรียบดังกล่าว  ทำให้ไมเคิล เมอร์ฟีย์ ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ดาวเทียม  และฝ่าดงกระสุนขึ้นไปยังเนินเขาอีกครั้งเพื่อให้โทรศัพท์ มีสัญญาณเพียงพอที่จะส่งคำขอความช่วยเหลือไปยังกองบัญชาการ   แต่สุดท้ายเขาก็ถูกยิงเสียชีวิตไปอีกคน















    Erik Kristensen 

















    Shane Patton 
















    James Suh



        แต่การตายของเมอร์ฟีย์ ก็ไม่เสียเปล่า คำขอความช่วยเหลือมาถึงกองบัญชาการที่ ฐานในบากราม นาวาตรี อีริค คริสเตนเซ่น ผบ. ของซีล ตัดสินใจนำทีมซีลที่เหลือติดอาวุธ โดยสั่งไปว่า "ไมเคิล ต้องการปืนทุุกกระบอกที่มี เร็วเข้า!!"  พวกเขารีบจัดอาวุธและอุปกรณ์ขึ้นไปยัง เฮลิคอปเตอร์ แบบ เอมเอช 47 "ชีนุค" ทันทีเพื่อไปรับสมาชิกทั้งสี่นายออกมา  โดยในชุดช่วยเหลือดังกล่าว  มี เชน แพตตั้น พลสื่อสารที่เคยถูกวางเป็นชุดลาดตระเวนในตอนแรก  เจมส์ ซู

         แต่พวกกองโจรรู้แต่แรกว่าอเมริกาจะต้องส่งกำลังเสริมเข้ามาแน่นอน จึงจัดชุดซุ่มโจมตีไปยังจุดลงจอด  เมื่อชุดช่วยเหลือมาถึงพวกเขาแปลกใจมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อ กองโจรยิงจรวดอาร์พีจีเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์  ส่งผลให้พวกเขาเสียชีวิตยกทีมรวมถึงนักบินจากกรมบินพิเศษ 160 ด้วย 


          ขณะเดียวกัน มาร์คัส กับแอ็กเซิลสัน  ซึ่งยังช็อคกับเหตุการณ์ดังกล่าว นั้น กลับพลัดหลงกันระหว่างการร่นถอย  จนแอ็กซ์เซิลสันต่อสู้จนกระสุนหมดและถูกสังหาร  จนตอนนี้มีเพียงแค่มาร์คัส คนเดียวที่ยังเป็นสมาชิกที่ยังมีชีวิต  สภาพเขาตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล เหนื่อยจัด และ กระหายน้ำ เพราะระหว่างร่นถอยเขาเผลอทำกระเป๋าน้ำหาย  รวมถึงอุปกรณ์ดำรงชีพต่างๆ
    แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้าง  เมื่อเจาได้พบกับ คูแลบ ชายเลี้ยงแพะจากอีกหมู่บ้านหนึ่งที่พาเขามารักษาตัวและให้พักฟื้น  ซึ่งทำให้เพื่อนบ้านไม่พอใจเพราะ ถ้าตาลีบันรู้ว่าใครให้ความช่วยเหลือคนอเมริกัน  จะถูกสังหารหมู่ 


          เมื่อมาร์คัสหายดีแล้วเขาขอให้ชาวบ้านคนหนึ่งนำจดหมายของเขาไปส่งที่ค่ายทหารที่ใกล้ที่สุดเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขายังมีชีวิตอยู่   จนในที่สุดทางกองทัพได้ส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษมารับตัวมาร์คัสกลับสู่ฐาน  อย่างปลอดภัย 


           สรุปภารกิจดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตเป็นหน่วยซีล 11 นาย และนักบินจากกรมบินพิเศษ 160 อีก 8นาย  โดยมีเพียงมาร์คัส เป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวในภารกิจในครั้งนี้  อีกทั้งภารกิจนี้ได้ถูกบันทึกในฐานะที่เป็นภารกิจที่มีการสูญเสียมากที่สุด แต่ ภารกิจก็ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ  และ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในยามวิกฤต ที่ต้องสู้กับศัตรูของซีล ทั้งที่รู้ว่าจะต้องเจอกับความตายอยู่เบื้องหน้า   

            ขอส่งท้ายด้วยบทกวีของ เทคุมเช่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง บทหนึ่ง ว่า

    "When it comes your time to die, be not like those whose hearts are filled with the fear of death, so that when their time comes they weep and pray for a little more time to live their lives over again in a different way. Sing your death song and die like a hero going home.

              เมื่อความตายได้มาเยือน  อย่าให้ความตายย่างกรายเข้ามาในหัวใจ จงอธิษฐานเพื่อให้มีชีวิตต่ออีกสังเล็กน้อย 

               จงร่ายบทเพลงมรณะและตายอย่างวีรบุรุษผู้กลับสู่มาตุภูมิ


     
    แหล่งอ้างอิง

     1.ภาพยนตร์เรื่อง Lone Survivor
     2. http://pantip.com/topic/31460344



     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น