เคยมีคำกล่าวที่ว่า "สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ เชื่อว่าทุกคนย่อมมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว คำกล่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังที่ได้ดูเมื่อตอนกลางคืน ตอนแรกกะว่าจะดูผ่านๆแต่เมื่อหนังเข้า สู่ครึ่งหลังแล้วกลับดึงดูดให้ผมดูจน จบในที่สุด เพราะอะไรเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
เนื้อเรื่องของหนังเล่าถึงหนุ่มชาวยิวผู้มองโลกในแง่ดีชื่อ กุยโด้ ได้เดินทางมายังเมือง Arezzo ในอิตาลี เพื่อมายื่นเรื่องขอเปิดร้านหนังสือ ในเมืองซึ่งทำให้เขาได้พบกับกับดอร่า คุณครูสาว แม้ตอนแรกจะมีอุปสรรคบ้างสำหรับกุยโด้แต่ด้วยความเป็นมิตร และการมองโลกในแง่ดีของเขาจึงสามารถเปิดร้านหนังสือและพิชิตหัวใจของดอร่าจน ได้แต่งงานในที่สุด ภายหลังทั้งคู่ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ โจชัว และใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกัน ฟังดูเหมือนหนังฟีลกู้ด โรแมนติกใช่ไหมครับ ไม่เลยถ้าเปรียบตอนแรกเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ครึ่งหลังนี้ก็เหมือนกับอาหารจานหลักที่จะทำให้คุณอิ่มแบบไม่รู้ลืม
กุยโด ดอร่า และเจ้าหนูโจชัว |
ต่อมาเมื่อหนูน้อยโจชัวอายุประมาณ 5 ขวบ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ซึ่งกองทัพเยอรมันได้ดำเนินแผนการกำจัดชาวยิว ซึ่งก็ไม่พ้นถึงคราวของกุยโด้ซึ่งถูกตำรวจลับจับตัวไปพร้อมกับโจชัว เพื่อส่งไปยังค่ายกักกัน ส่วนดอร่าก็ถูกจับหลังจากออกตามหาสามี ซึ่งเป็นที่รู้ว่าเป็นการยากที่จะรอดชีวิตกลับมาจากค่ายกักกัน แต่ด้วยความรักลูกที่ไม่ต้องการให้ลูกได้รับรู้ถึงความจริงที่โหดร้ายและการ มองโลกในแง่ดีของกุยโด้ เขาจึงโกหกลูกชายซึ่งถามเขาว่าทำไมต้องมาที่ค่ายว่า เป็นการมาเที่ยวเพื่อเล่นเกมโดยทำแต้มให้ครบหนึ่งพันคะแนน จะมีรางวัลเป็นรถถัง ถ้าชนะเกมนี้
ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายกักกัน กุยโด้พยายามที่จะดูแลโจชัวไม่ให้เขาต้องเห็นภาพที่เลวร้ายในค่ายโดยพยายาม ทำให้โจชัวเห็นว่าการใช้ชีวิตในค่ายคือการเล่นเกมซึ่งเขาก็ต้องแก้ปัญหา ต่างๆทั้งปกปิดความลับไม่ให้ลูกชายรู้และพยายามสืบข่าวเรื่องดอร่าภรรยาของ เขา ทำให้เราลุ้น ตลอดว่าความลับจะถูกเปิดเผยหรือไม่ จะเจอดอร่าหรือเปล่า ยิ่งนานเข้าเจ้าหนูโจชัวเกิดเบื่อหน่ายไม่อยากเล่นเกมแล้ว กุยโด้ก็งัดไม้เด็ดบอกว่าตอนนี้เราพ่อลูกมีคะแนนทีใกล้จะได้รางวัลแล้ว ซึ่งเหมือนเป็นการบอกลูกว่าสงครามกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วนั่นเอง
และเป็นไปตามคาดสงครามกำลังจะสิ้นสุดฝ่ายเยอรมันกำลังเสียเปรียบเพราะถูกกอง ทัพสัมพันธมิตรกำลังเข้ายึดพื่นที่ทำให้กองทัพเยอรมันกลัวว่าเรื่องค่าย กักกันจะถูกเปิดเผยจึงมีคำสั่งให้ย้ายนักโทษไปไว้ที่ค่ายนอกเมืองและทำลาย หลักฐานต่างๆอย่างชุลมุน กุยโด้จึงใช้โอกาสนี้พาโจชัวมาซ่อนไว้และบอกลูกว่าถ้าลูกซ่อนตัวโดยไม่มีใคร จับได้เลยจนถึงอีกวันจะชนะรางวัล และเขาจึงรีบวิ่งไปยังค่ายพักโซนที่พักของผู้หญิงเพื่อหาดอร่า แต่โชคร้ายเขาถูกทหารเยอรมันจับได้ซึ่งกุยโด้รู้ตัวว่าเกมจบลงแล้วและรู้ว่า ไม่รอดแน่ๆ แต่ระหว่างที่เขาถูกคุมตัวไปซึ่งผ่านจุดซ่อนตัวของลูกชายเขาจึงแสดงความกล้า หาญให้ลูกชายเห็นโดยการทำท่าทะเล้นต่าง ๆพร้อมกับโบกมือให้ลูกชาย และนั้นคือภาพสุดท้ายที่หนูน้อยโจชัวได้เห็นพ่อของเขา ซึ่งคืนนั้น เกมได้จบลงพร้อมการที่กุยโด้ถูกยิง
เมื่อเข้าสู่เช้าวันใหม่โจชัวได้ออกมาจากที่ซ่อนเขากลับไม่พบใคร กระทั่งต่อมาทหารอเมริกันซึ่งมาพร้อมกับรถถัง ทำให้โจชัวดีใจเพราะคิดว่าเขาชนะ ''เกม''แล้วและทหารผู้นี้ได้พาโจชัวนั่งรถถังจนได้พบกับดอร่าผู้เป็นแม่อีกครั้ง
หนังเรื่องนี้ชื่อเรื่องว่า Life is Beautiful หรือชื่อไทย "ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง"
เป็นภาพยนตร์ของอิตาลี ซึ่งกำกับ เขียนบท และแสดงนำโดย โรแบร์โต เบนิญี่
และยังได้รับรางวัลออสการ์ 3 รางวัล จากการเสนอชื่อ 7รางวัล โดย3 รางวัลนั้นคือ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดย โรแบร์โต เบนิญี่ รางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
จากเนื้อเรื่องครึ่งหลังนั้นเองที่ทำให้ผมนั่งดูจนจบลง แม้จะดูเหมือนว่ากุยโด้แพ้เกมนี้แต่ที่จริงเขาคือผู้ชนะโดยแท้จริง เพราะเขาไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวังแม้ว่าตอนที่ถูกจับได้คือวาระสุดท้ายของ ชีวิตเขาก็ยังยิ้มให้ลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายฉากนี้ได้ใจเต็มๆเลยแต่เหนือ สิ่งอื่นใดที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเขาชนะเกมนี้ก็คือ เขารักษาชีวิตลูกชายให้รอดชีวิตจากค่ายนี้ ด้วย ''ชีวิต'' และความกล้าหาญของกุยโด้นั่นเอง เมื่อหนังจบลงผมว่าคำตอบของ คำกล่าวที่ว่า"สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ" นั้นเป็นจริงเสมอหากเราไม่ไร้ซึ่ง "ความหวัง" ในหัวใจของเราเอง
แหล่งอ้างอิง
1.http://www.iseehistory.com/index.php…
2.http://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8…