วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เปิดหนังดู : Life is Beautiful (1997) : ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง

Life is Beautiful (1997) : ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง



 เคยมีคำกล่าวที่ว่า "สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ เชื่อว่าทุกคนย่อมมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว คำกล่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังที่ได้ดูเมื่อตอนกลางคืน ตอนแรกกะว่าจะดูผ่านๆแต่เมื่อหนังเข้า  สู่ครึ่งหลังแล้วกลับดึงดูดให้ผมดูจน จบในที่สุด เพราะอะไรเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง


    



  


  เนื้อเรื่องของหนังเล่าถึงหนุ่มชาวยิวผู้มองโลกในแง่ดีชื่อ กุยโด้ ได้เดินทางมายังเมือง Arezzo ในอิตาลี เพื่อมายื่นเรื่องขอเปิดร้านหนังสือ ในเมืองซึ่งทำให้เขาได้พบกับกับดอร่า คุณครูสาว แม้ตอนแรกจะมีอุปสรรคบ้างสำหรับกุยโด้แต่ด้วยความเป็นมิตร และการมองโลกในแง่ดีของเขาจึงสามารถเปิดร้านหนังสือและพิชิตหัวใจของดอร่าจน ได้แต่งงานในที่สุด ภายหลังทั้งคู่ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ โจชัว และใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกัน ฟังดูเหมือนหนังฟีลกู้ด โรแมนติกใช่ไหมครับ ไม่เลยถ้าเปรียบตอนแรกเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ครึ่งหลังนี้ก็เหมือนกับอาหารจานหลักที่จะทำให้คุณอิ่มแบบไม่รู้ลืม


กุยโด ดอร่า และเจ้าหนูโจชัว




  ต่อมาเมื่อหนูน้อยโจชัวอายุประมาณ 5 ขวบ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ซึ่งกองทัพเยอรมันได้ดำเนินแผนการกำจัดชาวยิว ซึ่งก็ไม่พ้นถึงคราวของกุยโด้ซึ่งถูกตำรวจลับจับตัวไปพร้อมกับโจชัว เพื่อส่งไปยังค่ายกักกัน ส่วนดอร่าก็ถูกจับหลังจากออกตามหาสามี ซึ่งเป็นที่รู้ว่าเป็นการยากที่จะรอดชีวิตกลับมาจากค่ายกักกัน แต่ด้วยความรักลูกที่ไม่ต้องการให้ลูกได้รับรู้ถึงความจริงที่โหดร้ายและการ มองโลกในแง่ดีของกุยโด้ เขาจึงโกหกลูกชายซึ่งถามเขาว่าทำไมต้องมาที่ค่ายว่า เป็นการมาเที่ยวเพื่อเล่นเกมโดยทำแต้มให้ครบหนึ่งพันคะแนน จะมีรางวัลเป็นรถถัง ถ้าชนะเกมนี้







   



 ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายกักกัน กุยโด้พยายามที่จะดูแลโจชัวไม่ให้เขาต้องเห็นภาพที่เลวร้ายในค่ายโดยพยายาม ทำให้โจชัวเห็นว่าการใช้ชีวิตในค่ายคือการเล่นเกมซึ่งเขาก็ต้องแก้ปัญหา ต่างๆทั้งปกปิดความลับไม่ให้ลูกชายรู้และพยายามสืบข่าวเรื่องดอร่าภรรยาของ เขา ทำให้เราลุ้น ตลอดว่าความลับจะถูกเปิดเผยหรือไม่ จะเจอดอร่าหรือเปล่า ยิ่งนานเข้าเจ้าหนูโจชัวเกิดเบื่อหน่ายไม่อยากเล่นเกมแล้ว กุยโด้ก็งัดไม้เด็ดบอกว่าตอนนี้เราพ่อลูกมีคะแนนทีใกล้จะได้รางวัลแล้ว ซึ่งเหมือนเป็นการบอกลูกว่าสงครามกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วนั่นเอง




    และเป็นไปตามคาดสงครามกำลังจะสิ้นสุดฝ่ายเยอรมันกำลังเสียเปรียบเพราะถูกกอง ทัพสัมพันธมิตรกำลังเข้ายึดพื่นที่ทำให้กองทัพเยอรมันกลัวว่าเรื่องค่าย กักกันจะถูกเปิดเผยจึงมีคำสั่งให้ย้ายนักโทษไปไว้ที่ค่ายนอกเมืองและทำลาย หลักฐานต่างๆอย่างชุลมุน กุยโด้จึงใช้โอกาสนี้พาโจชัวมาซ่อนไว้และบอกลูกว่าถ้าลูกซ่อนตัวโดยไม่มีใคร จับได้เลยจนถึงอีกวันจะชนะรางวัล และเขาจึงรีบวิ่งไปยังค่ายพักโซนที่พักของผู้หญิงเพื่อหาดอร่า แต่โชคร้ายเขาถูกทหารเยอรมันจับได้ซึ่งกุยโด้รู้ตัวว่าเกมจบลงแล้วและรู้ว่า ไม่รอดแน่ๆ แต่ระหว่างที่เขาถูกคุมตัวไปซึ่งผ่านจุดซ่อนตัวของลูกชายเขาจึงแสดงความกล้า หาญให้ลูกชายเห็นโดยการทำท่าทะเล้นต่าง ๆพร้อมกับโบกมือให้ลูกชาย และนั้นคือภาพสุดท้ายที่หนูน้อยโจชัวได้เห็นพ่อของเขา ซึ่งคืนนั้น เกมได้จบลงพร้อมการที่กุยโด้ถูกยิง


      เมื่อเข้าสู่เช้าวันใหม่โจชัวได้ออกมาจากที่ซ่อนเขากลับไม่พบใคร กระทั่งต่อมาทหารอเมริกันซึ่งมาพร้อมกับรถถัง ทำให้โจชัวดีใจเพราะคิดว่าเขาชนะ ''เกม''แล้วและทหารผู้นี้ได้พาโจชัวนั่งรถถังจนได้พบกับดอร่าผู้เป็นแม่อีกครั้ง









หนังเรื่องนี้ชื่อเรื่องว่า Life is Beautiful หรือชื่อไทย "ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง"
เป็นภาพยนตร์ของอิตาลี ซึ่งกำกับ เขียนบท และแสดงนำโดย โรแบร์โต เบนิญี่
และยังได้รับรางวัลออสการ์ 3 รางวัล จากการเสนอชื่อ 7รางวัล โดย3 รางวัลนั้นคือ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดย โรแบร์โต เบนิญี่ รางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม, และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม








 จากเนื้อเรื่องครึ่งหลังนั้นเองที่ทำให้ผมนั่งดูจนจบลง แม้จะดูเหมือนว่ากุยโด้แพ้เกมนี้แต่ที่จริงเขาคือผู้ชนะโดยแท้จริง เพราะเขาไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวังแม้ว่าตอนที่ถูกจับได้คือวาระสุดท้ายของ ชีวิตเขาก็ยังยิ้มให้ลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายฉากนี้ได้ใจเต็มๆเลยแต่เหนือ สิ่งอื่นใดที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเขาชนะเกมนี้ก็คือ เขารักษาชีวิตลูกชายให้รอดชีวิตจากค่ายนี้ ด้วย ''ชีวิต'' และความกล้าหาญของกุยโด้นั่นเอง เมื่อหนังจบลงผมว่าคำตอบของ คำกล่าวที่ว่า"สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ" นั้นเป็นจริงเสมอหากเราไม่ไร้ซึ่ง "ความหวัง" ในหัวใจของเราเอง





แหล่งอ้างอิง
1.http://www.iseehistory.com/index.php…
2.http://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8…

เปิดหนัง ดู : Tears of the Sun (2003) : เมื่อภารกิจนี้ คำตอบมีให้เลือกแค่ "หน้าที่" หรือ "มนุษยธรรม"

Tears of the Sun (2003) : เมื่อภารกิจนี้ คำตอบมีให้เลือกแค่ "หน้าที่" หรือ "มนุษยธรรม"






 เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่า "สงครามได้เผยสิ่งเลวร้ายที่สุดในตัวมนุษย์ออกมานั่นคือปีศาจร้าย คือคนที่ชอบความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และความตายที่พวกตนได้ก่อขึ้น แต่สงครามก็ยังได้เผยส่วนดีในตัวผู้คนออกมาเช่นกัน เช่น กลุ่มคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง"
ซึ่งทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของนายทหารที่ต้อง เลือกระหว่าง "หน้าที่" หรือ "มนุษยธรรม" เพื่อให้ภารกิจบรรลุเป้าหมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีชื่อว่า Tears of the Sun




เรือเอก วอเทอร์ (รับบทโดย บรู๊ซ วิลลิซ) กับเหล่าทหารหน่วยซีล  

     ภาพยนตร์เปิดเรื่องราวที่ประเทศไนจีเรียซึ่งได้เกิดความไม่สงบภายในประเทศ อันเกิดจากสงครามกลางเมือง ทำให้เริ่มมีการอพยพชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไนจีเรียจากนานาประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือสหรัฐฯหรือหน่วยซีล (US Navy Seal) ภายใต้การนำทีมโดย เรือเอก วอเทอร์ (รับบทโดย บรู๊ซ วิลลิซ) ได้เสร็จสิ้นจากภารกิจอพยพพลเรือนและเจ้าหน้าที่พลเรือนของสหรัฐฯเช่นกัน แต่ยังไม่ทันได้พักผ่อนได้มีคำสั่งให้พวกเขาต้องกลับเข้าไปยังไนจีเรียอีก ครั้ง โดยพวกเขาได้รับภารกิจให้เข้าไปรับตัว ดร.ลีน่า เคนดริกซ์ (รับบทโดย โมนีกา เบลลุชชี) คุณหมอสาวที่ไปทำงานให้กับโบสถ์นอกเมือง ซึ่งพวกเขาก็สามารถแทรกซึมเข้าสู่ไนจีเรียและพบ ดร.เคนดริกซ์ แต่คุณหมอสาวกลับไม่ยอมไปกับทีมของผู้การวอเทอร์โดยขอร้องว่าถ้าจะให้ออกจาก ไนจีเรียก็ขอให้ชาวบ้านที่หลบภัยในโบสถ์เดินทางไปด้วยกัน ซึ่งผู้การวอเทอร์ก็ไม่เห็นด้วยเพราะถ้านำกลุ่มชาวบ้านไปด้วยจะทำให้เกิด ความล่าช้าและเป็นอันตรายต่อภารกิจ แต่เมื่อดร.เคนดริกซ์ยังไม่ยอมไปกับหน่วยซีล สุดท้ายผู้การวอเทอร์จึงยอมให้กลุ่มชาวบ้านเดินทางไปกับคุณหมอสาว แต่เมื่่อเดินทางถึงจุดนัดพบ ผู้การวอเทอร์จึงให้ทีมนำตัวหมอเคนดริกซ์ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่มารับและปล่อย ให้กลุ่มชาวบ้านเดินทางข้ามชายแดนกันเอง
 

ดร.ลีน่า เคนดริกซ์ (รับบทโดย โมนีกา เบลลุชชี)
  ระหว่างเดินทางกลับ ผู้การวอเทอร์ได้เห็นภาพหมู่บ้านถูกเผาทำลายและศพชาวบ้านที่ถูกกองกำลังทหาร เข้าโจมตีและสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม จึงทำให้ผู้การวอเทอร์ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้น ขอให้เฮลิคอปเตอร์กลับไปยังจุดนัดพบตอนแรกและสั่งให้ลูกทีมคุ้มกันหมอเคน ดริกซ์และชาวบ้านไปยังชายแดนแคเมอรูน แม้ตอนแรกลูกทีมจะแสดงท่าทีสงสัยระคนกับความไม่พอใจว่าทำไมต้องกลับไปช่วย ชาวบ้านเหล่านี้ ทั่งที่ไม่ใช่ภารกิจ แต่ระหว่างการเดินทางข้ามชายแดนก็ทำให้เหล่าทหารเข้าใจเหตุผลของหัวหน้าทีม ของตนเองมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันกองกำลังทหารเผด็จการของไนจีเรียก็ได้ส่งทีมติดตามทีมของวอ เทอร์ เพื่อ ตามล่า “เป้าหมายสำคัญ” ที่แฝงตัวมากับกลุ่มชาวบ้านด้วยแม้การตัดสินใจของผู้การวอเทอร์ย่อมเป็นการขัดต่อคำสั่งอันจะส่งผลให้ภารกิจ มีความยุ่งยากและเสี่ยงอันตรายมากขึ้น แต่เขาก็จะพยายามที่จะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงซึ่งอาจจะทำให้เขาได้รับคำตอบ ที่เขาอยากจะบอกแก่ลูกทีมของเขาเช่นกัน








                                                                           


      แม้จะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเกี่ยวกับเหล่าทหารหาญถูกส่งไปทำภารกิจเสี่ยงตาย แต่สิ่งที่หนังได้พยายามสื่อสารให้เราได้รับรู้และนำไปขบคิดก็คือ “ ระหว่าง” หน้าที่ กับ ” มนุษยธรรม” โดยเล่าผ่าน ผู้การวอเทอร์ นายทหารผู้ยึดมั่นในภารกิจที่ตนเองได้รับ คือการนำตัวหมอเคนดริกซ์ออกจากไนจีเรีย จึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือชาวบ้านอันเป็นสิ่งที่อยู่ นอกภารกิจไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติภารกิจและเสี่ยงอันตรายมากขึ้น แม้ในใจก็อยากจะนำชาวบ้านออกไปด้วยก็ตาม แต่ด้วยผลลัพธ์ดังกล่าวที่จะมีแต่อันตรายตามมา ทำให้เขาจำต้องยึดมั่นในคำสั่งเดิม แต่เมื่อเขาได้เห็น    ภาพความโหดร้ายระหว่างเดินทางกลับ ทำให้เขา ตัดสินในกลับไปรับชาวบ้านอีกครั้งประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากที่ต้องตัดสินใจในการปฏิบัติต่อ พลเรือน ซึอาจจะมีข้าศึกแฝงตัวหรือพลเรือนที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือฝ่ายศัตรูส่งผล ทำให้ภารกิจล้มเหลวและชีวิตของผู้ปฏิบัติภารกิจ เหมือนที่เคยเกิดในภารกิจ บราโว่ 2-0 ของหน่วย SAS แห่งอังกฤษ หรือ ภารกิจเรด วิงส์ ของหน่วยซีลนั่นเอง ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของผู้การวอเทอร์ในขณะนั้นอย่างชัดเจน




   หลังจากดูเรื่องนี้จบ ทำให้ผมนึกถึงวลีที่เคยกล่าวตอนเปิดเรื่องเลยว่า ”แม้สงครามจะทำให้ต้องกระทำอันเป็นการเผยในสิ่งที่ชั่วร้ายออกมา กล่าวคือเพิกเฉยต่อพลเรือน เพราะคำสั่งภารกิจ แต่เมื่อตัดสินใจที่เข้าช่วยเหลือและคุ้มครองพลเรือน
ให้รอดพ้นจากอันตราย อย่างน้อยก็ยังได้เผยส่วนดีในตัวพวกเขาออกมาเพราะเขาเชื่อว่าสิ่งทำลงไปคือสิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง"




แหล่งข้อมูล:
1. http://topicstock.pantip.com/…/20…/12/A7376286/A7376286.html

2. http://warfilm.wikia.com/wiki/Tears_of_the_Sun

3. imfdb.org

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

SOF The Series : Ep 01 กองพันภารกิจพิเศษ 707 : พยัคฆ์หิมะแห่งแดนกิมจิ






กองพันภารกิจพิเศษ 707 : พยัคฆ์หิมะแห่งแดนกิมจิ



  









  ช่
วงนี้เห็นกระแสของซีรี่ย์ของเกาหลีเรื่อง Descendants of the sun กำลังเป็นที่กล่าวถึง โดยเฉพาะ บทบาทของผู้กองยูชีจิน ซึ่งจากที่ได้ถามเพื่อนๆที่รู้จัก ถึงเรื่องราวในซีรี่ย์เขาก็แนะให้ผมไปลองดู พอได้ดูไปตอนหนึ่ง รู้สึกว่าสมกับที่เพื่อนผมแนะนำมาจริงๆ เป็นซีรี่ย์ที่สนุกดี โดยเฉพาะที่ผมประทับใจสุด ตรง Detail ชุดทหารของหน่วยรบพิเศษเกาหลี ที่ทำให้ผมได้เห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของหน่วยรบพิเศษเกาหลีใต้ ที่ทำให้รู้สึกสนใจ เรื่องราวทางทหารของเกาหลีมากขึ้น
_______________________________________________


 

     เกาหลีใต้ถ้าพูดถึงในแง่การทหารแล้ว เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีตลอดเวลา รวมถึงภัยก่อการร้าย จึงต้องมีการพัฒนาขีดความสามารถทางทหาร รวมถึงการปฏิบัติการพิเศษตามหลักนิยมในการสงครามปัจจุบัน ซึ่งแม้ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลาย เหมือนประเทศมหาอำนาจอื่นๆ แต่เกาหลีใต้ก็ยังมีหมัดเด็ดไว้สำหรับรับมือกับเหตุดังกล่าว นั่นก็คือ หน่วยสงครามพิเศษ (ท็อกจองซา) และที่หน่วยสงครามพิเศษนี้ก็ยังมีหน่วยรบที่รวมยอดฝีมือเอาไว้โดยเฉพาะ พวกเขาคือ กองพันภารกิจพิเศษที่ 707 หรือ รู้จักกันในนาม "หน่วยพยัคฆ์หิมะ" นั่นเอง
_______________________________________________





 กองพันภารกิจพิเศษที่ 707 หรือ รู้จักกันในนาม "หน่วยพยัคฆ์หิมะ"เป็นหน่วยรบพิเศษสังกัดกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 5 มีภารกิจต่อต้านก่อการร้ายสากล ภารกิจชิงตัวประกัน หน่วย707 ถูกก่อตั้งขึ้น หลังจากเหตุการณ์ สังหารหมู่ที่หมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิก ที่มิวนิก ประเทศเยอรมัน (เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดแนวคิดการรับมือการก่อการร้ายอย่างแพร่หลาย) โดย มีภารกิจที่เป้นที่รู้จักสู้สาธารณชนในภารกิจรักษาความปลอดภัยในมหกรรมกีฬา โอลิมปิก ที่กรุงโซล เมื่อปี คศ 1988 หน่วย 707 มีกองบัญชาการอยู่ที่ กรุงซองนัม ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยสงครามพิเศษ นั่นเอง


_______________________________________________

 สมาชิกของหน่วย 707 จะได้รับการฝึกในยุทธวิธีการต่อต้านการก่อการร้าย อาทิ การเข้าโจมตีอาคาร การชิงตัวประกัน และได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธทุกประเภท รวมถึง การต่อสู้ด้วยมือเปล่า รวมถึงการปฏิบัติการในสภาพอากาศที่เลวร้าย เช่นในพื่นที่อากาศหนาวจัด ซึ่งการที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพยัคฆ์หิมะ นั้นจะต้องผ่านกระบวนการคัดคนที่ จะต้องผ่านการทดสอบทางกายภาพ รวมถึงประวัติย้อนหลัง โดยสามารถคัดออกได้เกือบ 90% จากผู้สมัครทั้งหมด และสิ่งที่น่าสนใจคือ มีสมาชิกหน่วย ที่เป็นทหารหญิงจำนวนหนึ่ง โดยที่ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานของทหารชาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างในสายงานทหารที่ไม่มีคำว่า เพศเป็นข้อจำกัด
_______________________________________________



อาวุธคู่กายของเหล่าพยัคฆ์หิมะ ที่เห็นหลักๆ จะมี ปืนกลมือ HK MP5 เพราะ ส่วนใหญ่ภารกิจจะเป็นการเข้าช่วยตัวประกัน ในอาคารก็ดี หรือ อากาศยานก็ดี จึงต้องการอาวุธที่เน้นความคล่องตัวกระทัดรัด และ รวมถึง ปืนเล็กยาวจู่โจม แบบ K1-A K2 K3 ซึ่งผลิตโดยบริษัท แดวู ประเทศเกาหลีใต้นั่นเอง ส่วนชุดซุ่มยิง ก็จะเลือกใช้ปืนซุ่มยิง แบบ AWM AW50 F ในภารกิจที่ต้องการความแม่นยำสูง แต่ถ้าเป็นภารกิจต่อต้านการลอบยิง ที่ต้องการยิงซ้ำทันที่ พวกเขาก็จะติดปืนไรเฟิลซุ่มยิง แบบ MSG-90ไปด้วย
________________________________________________








 ปัจจุบันพวกเขายังได้แลกปลี่ยนประสบการณ์กับพลพรรคหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อาทื เช่น เดลต้า ฟอร์ซ ของสหรัฐอเมริกา หน่วย GIGN ของฝรั่งเศส หน่วย JTF 2 ของ แคนาดา รวมถึงหน่วย SDU ของ ฮ่องกง และ STAR ของ สิงคโปร์ ซึ่งพวกเขายังคงพัฒนาฝีมือเพื่อให้สามารถรับมือกับภัยก่อการร้ายที่นับวันจะ พัฒนาอย่างรวดเร็ว นั่นเอง







แหล่งข้อมูล :


1.https://en.wikipedia.org/wi…/707th_Special_Mission_Battalion
2. Hobby Japan : เรียนรู้จากภาพวาด หน่วยปฏิบัติการพิเศษของโลก ภาค รัสเซีย ยุโรป และ เอเชีย :สำนักพิมพ์ อินตอร์แร็คทีฟบิซิเนส จำกัด , 2558
3.http://m.pantip.com/topic/34886282



ภาพประกอบ :

1.www.shadowspear.com

2.www.pinterest.com
3.https://www.reddit.com/r/MilitaryPorn/comments/42n823/operators_from_the_republic_of_korea_army_special/?