แผนที่สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน |
1. ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบในแผ่นดินที่ชื่อ เซียร์ร่า ลีโอน
หากใครที่เคยอ่านเรื่องราวเกียวกับทวีปแอฟริกา นั้นจะทราบดีว่าแต่ละประเทศในแอฟริกาล้วนเคยผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายของสงครามกลางเมืองภายในประเทศ ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก อาทิ โซมาเลีย ไนจีเรีย รวันดา และอีกหลายประเทศ ซึ่งไม่สามารถที่จะหยุดยั้งช่วงเวลาความบ้าคลั่งได้
แม้จะมีความพยายายามจากนานาชาติโดยการใช้กำลังทหารเข้ามารักษาสันติภาพ และปฏิบัติภารกิจทางด้านมนุษยธรรมก็ตาม
นักรบกลุ่มเวสต์ไซด์บอย |
อีกประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแอฟริกา อย่าง เซียร์ร่า ลีโอน ก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆในแอฟริกาที่ต้องผจญกับช่วงเวลาวิบากกรรมจากสงครามกลางเมือง สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก มีเมืองหลวง ชื่อ ฟรีทาวน์ หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี 1961 เซียร์ร่า ลีโอน
ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 1999 สหประชาชาติได้จัดตั้ง กองกำลังสังเกตุการณ์แห่งสหประชาชาติในเซียร์ร่า ลีโอน(UNAMSIL) โดยมีภารกิจเช่น สังเกตุการณ์ระหว่างหยุดยิงตลอดจนภารกิจทางด้านมนุษยธรรม (ประเทศไทยก็เคยส่งทหารเข้าไปร่วมรักษาสันติภาพในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน) ในที่สุดประเทศก็เข้าสู่ความสงบ แต่ก็ยังไม่อาจเรียกว่าสงบสุขได้เต็มปากเพราะแม้สงครามกลางเมืองจะยุติ ก็ยังมีกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ที่จะเข้ามาก่อความไม่สงบ สังหารผู้คน ตลอดจนปล้นทรัพย์ของคนในท้องที่ หนึ่งในกลุ่มที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่ กลุ่ม "เวสต์ไซด์บอย" ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดจากลูกหลานของกองกำลังติดอาวุธในสมัยสงครามกลางเมือง มีผู้นำกลุ่มชื่อ โฟเดย์ คัลเลย์ พวกเขามีฐานที่มั่นอยู่ในหมู่บ้านกเบรีบานา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฟรีทาวน์และมีสภาพเป็นป่าหนาทึบ พวกเขาประทังชีวิตด้วยการออกปล้นชาวเมือง ต่อมา คัลเลย์ตัดสินใจที่จะขอวางอาวุธต่อสหประชาชาติเพราะเห็นว่า การปล้นต่อไปก็คงไม่ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น
2. ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายยอมจำนน เมื่อทหารอังกฤษโดนปลดอาวุธเสียเอง . . . . . . . . . .
หลังจากคัลเลย์ตัดสินใจที่จะมอบตัว ทาง UNAMSIL จึงส่งทหารอังกฤษจำนวน 11 นาย จากชุดลาดตระเวน กรมทหารราบไอริช เข้าไปปลดอาวุธกลุ่มเวสต์ไซด์บอย โดยมีพันตรี อลัน มาร์แชล เป็นหัวหน้าชุดลาดตระเวน ทั้งนี้ ยังมี ผู้พัน มูซา บังกรา นายทหารจากกองทัพเซียร์ร่า ลีโอน จากนั้นพวกเขาเคลื่อนพลโดยใช้รถแลนด์โรเวอร์ โดยที่ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังจะเข้าไปในรังของเหล่าไฮยีน่าที่กำลังรอเนื้อสดๆก็ไม่ปาน เพราะทางฝั่งเวสต์ไซด์บอย ซึ่งคัลเลย์กำลังเตรียมทำการปลดอาวุธ พลพรรค WSB ที่กลับมาจากการสอดแนมแจ้งว่า กองทหารอังกฤษที่จะเข้ามาปลดอาวุธนั้นมีเพียงแค่ 12 นาย (รวมล่าม คือพันตรี มูซา) ทำให้คัลเลย์เกิดนึกในใจว่า ถ้าจับทหารอังกฤษน่าจะทำเงินได้เยอะพอที่จะเลิกปล้นไปได้เลย จึงเกิดเปลี่ยนใจสั่งให้ลูกน้องเข้าไปซุ่มระหว่างเส้นทาง ที่ชุดลาดตระเวนเข้ามา และเมื่อมาพวกเขามาถึงให้ จับเป็น ให้หมด
ทางด้านชุดลาดตระเวนของอังกฤษซึ่งยังไม่รู้ตัวว่าจะเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนั้น พวกเขากำลังปวดหัวกับการนำรถเข้าสู่หมู่บ้าน ทั้งนี้เนื่องจากเส้นทางไปยังหมู่บ้านกเบรีบานาเป็นป่าหนาทึบ ทำให้ถนนดูแคบลง และทำให้ทัศนวิสัยดูแย่ลงทันที
ทันทีที่ชุดลาดตะเวนของผู้พันมาร์แชลมาถึง พวกเขาถึงกับต้องตกใจเมื่อรอบพวกเขาคือเด็กหนุ่มกองกำลังติดอาวุธ กลับโผล่พรวดเข้ามาล้อมขบวนรถ พร้อมทั้งตะโกนสั่งให้วางอาวุธด้วยสำเนียงกระท่อนกระแท่น แม้ตอนแรกผู้พันมาร์แชลจะใจดีสู้เสือ พยายามพลิกสถานการณ์ โดยการส่งสัญญาณให้ทหารยิงทันที แต่โชคร้ายถูกกองกำลังติดอาวุธรวบตัวและขู่ว่า "ถ้าพวกแกยิงเมื่อไหร่ ข้าจะส่งหัวหน้าพวกแกไปยมโลกแน่!" เช่นนี้แล้วทหารอังกฤษจึงยอมจำนนแต่โดยดี ทุกคนถูกปลดอาวุธและอุปกรณ์ติดตัวไปหมด พวกเขาถูกส่งตัวไปคุมขุังไว้ที่บ้านของกลุ่ม ยกเว้นผู้พันมูซาที่ดูจะโดนหนักกว่าเพื่อนทั้งถูกทุบตี กระทืบ และถูกด่าทอว่า "สุนัขรับใช้จักรวรรดิ" เขาถูกขังที่บ่อของโสโครก
กลายเป็นว่าพวกเขาถูกปลดอาวุธเสียเองแล้วหรือนี่ . . . . . . . . .
3. เปิดโต๊ะเจรจา ที่ยิ่งขอยิ่งยุ่งเหยิง (แถมชักศึกเข้าบ้านด้วยครับ ท่านผู้ชม)
หลังจากการหายตัวไปของชุดลาดตระเวน ทางกองทัพอังกฤษจึงเริ่มวางแผนหาทางช่วยเหลือ ซึ่งบังเอิญ คัลเลย์ได้ส่งตัวแทนมาบอกทหารอังกฤษว่าขอเจรจาแลกเปลี่ยนเชลย โดยมีการนัดกันในวันที่ 25 สิงหาคม ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นเจรจาทันที แต่ทว่าปัญหาคือ คัลเลย์เมาเพราะเสพกัญชาทำให้เขาไม่สามารถตั้งสมาธิในการเจรจา ยิ่งเจรจาก็ชักจะยิ่งปวดหัว กล่่าวคือ ตอนแรก ขอเงินกับอาวุธ ต่อมาจะเอาอาหาร จนถึงขั้นขอฐานทัพของกองทัพเซียร์ร่า ลีโอน สร้างความปวดหัวให้กับนักเจรจาฝั่งอังกฤษก็ไม่น้อย จนในที่สุดเพราะทนไม่ไหวกับอาการเมาของคัลเลย์ หรือ คิดแล้วว่าเจรจาแบบนี้ไม่น่ายุติ เขาจึงตัดสินใจ มอบโทรศัพท์ดาวเทียม ให้กับคัลเลย์ ทำเอาคัลเลย์ถึงกับดีใจเพราะได้ของดี จึงให้ลูกน้องปล่อยตัวประกัน 5 คนแรกอย่างใจป้ำ ซึ่งคัลเลย์ไม่รู้ตัวว่าเขากำลังปล่อยไก่อย่างรุนแรง จนเป็นการชักศึกเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว
เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะว่าการที่อังกฤษยอมมอบโทรศัพท์ให้ก็เพราะ เหตุผล 2 ประการดังนี้
- เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อใจให้คัลเลย์ และเผื่อการเจรจาครั้งต่อไปก็สามารถติดต่อได้เลยโดยไม่ต้องมาเจรจากันแบบต่อหน้า เผื่อคัลเลย์เกิดจะปล่อยตัวประกันเพิ่มเติม
- ซึ่งเป็นเหตุผลแอบแฝงคือ เพื่อสามารถระบุตำแหน่งของที่ตั้งของที่คุมขังทหารอังกฤษเพื่อประเมินสถานการณ์ในการวางแผนช่วยเหลือตัวประกัน ถือเป็นข้อเป็นข้อผิดพลาดที่คัลเลย์ทำพลาดอย่างมหันต์ในการเปิดเผยตำแหน่งตนเองและยิ่งปล่อยตัวประกันซึ่งเป็นทหารนั้นยิ่งเลวร้ายไปอีกเพราะตัวประกันที่ถูกปล่อยตัวมาได้แอบทำการวาดแผนฝัง ของอาคารคุมขัง ระหว่างที่ถูกควบคุมใส่เศษกระดาษพร้อมกับแอบส่งให้กับนักเจรจา ทำให้ ฝ่ายอังกฤษรู้สึกเหมือนบอลเข้าขา รอยิงเข้าโกล์ได้เลย พูดง่ายๆ "กินหมู" ดีๆนี่เอง
ฝ่ายอังกฤษเมื่อได้ข้อมูลจากพิกัดบนโทรศัพท์ที่ส่งให้คัลเลย์ ประกอบกับคำบอกเล่าจากตัวประกันจึงเริ่มวางแผนช่วยตัวประกันทันที ดังนั้นฝ่ายอังกฤษจึงให้ชุดเจรจาทำการเจรจาต่อไปและซื้อใจคัลเลย์โดยการหาเสบียงไปมอบให้ (เปย์ให้ไม่อั้น) จะว่าไปการเจรจารอบหลังคือ "ซื้อเวลา" เพื่อวางแผนนั่นเองโดยที่คัลเลย์ไม่รู้ว่า กำลังจะถูกมอบความตายเพราะความไม่เฉลียวใจของตัวเองเสียแล้ว
ขณะเดียวกันทางอังกฤษก็ได้ส่งหน่วย SBS (Special Boat Service) หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางเรือเข้าแทรกซึมเพื่อสังเกตุการณ์ภายในค่ายคุมเชลยและจับตาดูพฤติกรรมของกลุ่มเวสต์ไซด์บอย ซึ่งทีมสังเกตุการณ์SBS พบว่า กลุ่มเวสต์ไซด์บอย นั้นเป็นเพียงแค่กองโจรที่ไร้ระบบระเบียบ วันๆก็เสพกัญชา แล้วจึงออกปล้นในเมือง พอตอนเย็นกลับมาก็ปาร์ตี้จนเมาหัวราน้ำ เมื่อทางฝ่ายอังกฤษได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมสังเกตุการณ์แล้วจึงให้ชุดเจรจานำสุราไปแจกให้คัลเลย์เยอะๆ
ขณะเดียวกันทางอังกฤษก็ได้ส่งหน่วย SBS (Special Boat Service) หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางเรือเข้าแทรกซึมเพื่อสังเกตุการณ์ภายในค่ายคุมเชลยและจับตาดูพฤติกรรมของกลุ่มเวสต์ไซด์บอย ซึ่งทีมสังเกตุการณ์SBS พบว่า กลุ่มเวสต์ไซด์บอย นั้นเป็นเพียงแค่กองโจรที่ไร้ระบบระเบียบ วันๆก็เสพกัญชา แล้วจึงออกปล้นในเมือง พอตอนเย็นกลับมาก็ปาร์ตี้จนเมาหัวราน้ำ เมื่อทางฝ่ายอังกฤษได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมสังเกตุการณ์แล้วจึงให้ชุดเจรจานำสุราไปแจกให้คัลเลย์เยอะๆ
ในที่สุดแผนการช่วยเหลือตัวประกัน ก็เริ่มออกมาเป็นรูปเป็นร่าง อย่างรวดเร็ว ที่เหลือก็รอเพียงเวลาตัดริบบิ้นเปิดงาน หรือเริ่มภารกิจนั่นเอง
4. แผนปฏิบัติการ จากข้อมูลลักษณะของค่ายของกลุ่มเวสต์ไซด์บอยที่ถูกส่งมาโดยทหารอังกฤษที่ยังถูกจับเป็นตัวประกัน อย่างลับๆในวันเจรจาครั้งแรกกับคัลเลย์ ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีข้อมูลพอที่จะเริ่มทำการค้นหาและช่วยเหลือตัวประกัน ทั้ง สภาพของตัวอาคาร ผังที่ตั้งของอาคารที่คุมขัง อีกทั้ง ข้อมูลความเคลื่อนไหวของเหล่าเวสต์ไซด์บอย จากทีมสังเกตุการณ์ หน่วย SBS ยิ่งทำให้ฝั่งอังกฤษเหมือนมี "แต้มต่อ" ที่ภารกิจนี้จะสำเร็จอย่างแน่นอน
4.1 ลำดับขั้นตอนของภารกิจ
4. แผนปฏิบัติการ จากข้อมูลลักษณะของค่ายของกลุ่มเวสต์ไซด์บอยที่ถูกส่งมาโดยทหารอังกฤษที่ยังถูกจับเป็นตัวประกัน อย่างลับๆในวันเจรจาครั้งแรกกับคัลเลย์ ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีข้อมูลพอที่จะเริ่มทำการค้นหาและช่วยเหลือตัวประกัน ทั้ง สภาพของตัวอาคาร ผังที่ตั้งของอาคารที่คุมขัง อีกทั้ง ข้อมูลความเคลื่อนไหวของเหล่าเวสต์ไซด์บอย จากทีมสังเกตุการณ์ หน่วย SBS ยิ่งทำให้ฝั่งอังกฤษเหมือนมี "แต้มต่อ" ที่ภารกิจนี้จะสำเร็จอย่างแน่นอน
4.1 ลำดับขั้นตอนของภารกิจ
รายละเอียดของภารกิจ |
- ทหารพลร่มจำนวน 110 นาย จากกองพันที่1 กรมทหารพลร่ม จะเข้าไปวางกำลังแถวหมู่บ้านแมกเบนี คอยวางกำลังรอบๆ พื้นที่ปฏิบัติการ เพื่อคุ้มกัน ชุดปฏิบัติการจากข้าศึกที่จะวิ่งข้ามสะพานเข้ามาสมทบกับWSB ในพื้นที่
- ทหารหน่วยรบพิเศษ SAS จากหมู่ดี (D-Squadron) แห่งกรมปฏิบัติการพิเศษทางอากาศที่ 22 จะเข้าชิงตัวประกันโดยมีเฮลิคอปเตอร์ แบบชินุค และ ah-7 ลิงซ์ คอยยิงคุ้มกันเพื่อเปิดทางให้ทีมจู่โจมเข้าไป
- ชุดสังเกตุการณ์จากหน่วย SBS (Special Boat Service) ซึ่งวางตัวสังเกตุการณ์ตั้งแต่การเจรจาจะคอยคุ้มกันแถวบ้านที่ขังเชลย
เพื่อคุ้มกันไม่ให้เชลยถูกสังหาร
ในการปฏิบัติการครั้งนี้ได้มีการเสริมทัพโดยทหารพลร่ม 1 กองพันเข้ามาเพราะว่าทางกองบัญชาการในอังกฤษได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริเวณหมูบ้านกเบรีบานา นั้นยังมีหมู่บ้านใกล้ๆชื่อหมู่บ้านแมกเบนี ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นอริกับกับกลุ่ม WSB ก็ตามแต่ฝั่งอังกฤษมีความกังวลว่า เสียงปืนอาจจะเกิดทำให้พวกเขาเข้าใจผิดจนกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านก็เป็นได้ อีกทั้งแม่น้ำหระหว่างหมู่บ้านมีขนาดไม่กว้างมากนัก ทำให้คนจากหมู่บ้านแมกเบนีอาจข้ามมาซุ่มโจมตีหน่วยSASและอากาศยาน ได้
ซึ่งอเมริกาก็เคยเจอสถานการณ์นี้ ในการยุทธ์โมกาดิชู เมื่อ ปี 1993 ที่ หน่วยเดลต้า ฟอร์ซ และเรนเจอร์บุกเข้าจับกุมนายทหารของนายพลไอดิดที่นอกจากต้องรับมือกับนักรบจากกองกำลังติดอาวุธของไอดิด แล้วยังถูกกระหนายโดยชาวบ้านที่เกิดสติแตกจากความกลัวที่จับอาวุธ จนต้องเสียทหาร 18 นาย และเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ
ดังนั้นอังกฤษจึงตัดสินใจว่าเฟสแรกจะให้เฮลิคอปเตอร์ ชินุค และ ลิงซ์ โปรยฝนเหล็กด้วยมินิกัน ปืนกลเพื่อกำจัดศัตรูที่อาจซ่อนในบ้าน จากนั้นจึงส่งพลร่มเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อให้ SAS เข้าไปช่วยตัวประกัน ในกเบรีนาได้อย่างสะดวก
5. ได้เวลาตัดริบบิ้น (เปิดภารกิจ)
วันที่ 17 กันยายน 2000 รุ่งเช้า เมื่อเหล่าทหารหนุ่มแห่ง SAS และพลร่ม จัดอาวุธและอุปกรณ์ ตลอดจนสรุปครั้งสุดท้ายจนเสร้จสิ้นพวกเขาจึงเหินฟ้าด้วยเฮลิคอปเตอร์ชินุค และลิงซ์ เพื่อเข้าไปวางตัวในพื้นที่รับผิดชอบของตน ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่แล้วก็ต้องเจอความยุ่งยากจนได้เมื่อทหารพลร่มที่จะเข้าไปวางตัวในหมู่บ้านแมกเบนีกลับโรยตัวลงมาในบึงชื้นแฉะ ทำให้เคลื่อนตัวไปยังเป้าหมายลำบากมาก อีกทั้งวิทยุกลับไม่สามารถใช้งานเพื่อจะติดต่อไปทางหน่วย SAS ให้เลื่อนเวลาแต่สายไปเสียแล้ว ผู้พันแม็ทธิว โลว์ หัวหน้าชุดพลร่มเห็นชาวบ้านแมกเบนี คว้าอาวุธเข้ามาทางพวกตน ผู้พันโลว์จึงสั่งให้ทีมยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ชาวบ้านไม่ให้ข้ามสะพาน จนเกิดการปะทะย่อยๆ ที่เลวร้ายเพราะ พลร่มไม่สามารถขยับตัวได้เลย และแล้วผู้พันโลว์ก็ถูกยิงจนเสียชีวิต โดยมี ร้อยเอกแดน แมทธิวส์ รับช่วงต่อแทน
ส่วนหน่วยSAS ที่เป็นทีมช่วยเหลือเมื่อถึงหมูบ้านกเบรีนาแล้ว เฮลิคอปเตอร์จึงโปรยฝนเหล็กจากกันชิปรอบหมู่บ้านอย่างหนักหน่วง
เพื่อกำจัดข้าศึกและกลุ่มที่ใช้ จรวดอาร์พีจีที่ซ่อนตัวอยู่ ซึ่งแรงลมจากใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ทำเอาฝุ่นตลบ และหลังคาของอาคารที่สร้างอย่างๆง่ายๆ กระเด็น ออกไป แม้จะมีการต่อต้านแต่พวก WSB ไม่ใช่ทหารที่ฝึกมาอย่างดี ก็เลยถูกฝนเหล็กจากกันชืปจนร่วงไปทีละคน
คัลเลย์เมื่อรู้ว่าตนถูกอังกฤษหลอกจึงนำพลพรรคที่เหลือไปยังบ้านที่คุมเชลยเพื่อสังหารตัวประกันให้หมดแต่ยังไม่ถึงตัวบ้านพวกเขาก็ถูกต้อนรับโดยสไนเปอร์ของ SBS ที่ซุ่มรออยู่แล้ว พวกเขาค่อยๆบรรจงเก็บกองกำลังติดอาวุธทีละคน จนเหลือคัลเลย์ที่เกิดอาการกลัวจนวิ่งกลับไปซ่อนตัวในบ้าน
เมื่อพื้นที่ถูกถางโดยกันชิปแล้ว หน่วย SAS จึงโรยตัวเข้าปิดล้อมอาคารที่ละหลังพร้อมกับสังหารข้าศึก ขณะเดียวกันก็พยายามหาเชลยให้เจอ จนกระทั่ง SAS นายหนึ่งได้ยินเสียงตะโกนว่า "พวกเราทหารอังกฤษๆ" จากอาคารหลัง SASหนุ่มจึงเข้าไปข้างในพบทหารอังกฤษที่ถูกจับ 6 นาย ทหารSAS จึงพาพวกเขาออกมายังจุดถอนตัว
ซึ่งมีขนาดพแๆกับสนามบอล
ส่วนผู้พันมูซาทหารล่ามที่ได้รับบาดเจ็บปางตายก็คงคิดว่าคงไม่มีใครหาเค้าเจอวินาทีนั้นเอง SAS อีกทีมพบผู้พันมูซาในบ่อจึงอุ้มเขาออกมาเพื่อทำการถอนตัว ส่วนอีกทีมก็เจอคัลเลย์ที่อยู่ในสภาพไร้พิษสง แล้วเพราะลูกน้องไม่ถูกยิงก็ทิ้งอาวุธหนีไป สุดท้ายคัลเลย์ก็ถูกจับกุม เป็นอันสิ้นสุดภารกิจ
ภารกิจในครั้งนี้จึงเป็นภารกิจหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แม้จะสูญเสียผู้พันโลว์ไปแต่การสูญเสียเขาก็ไม่เป็นการสูญเปล่าเพราะตัวประกันทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำชื่อเสียงความเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีมายาวนานนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ของ SAS ที่เหล่าผองเพื่อนหน่วยรบพิเศษยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ภารกิจในครั้งนี้ยังเป็นการให้กำเนิดหน่วยรบพิเศษน้องใหม่ในชื่อของหน่วยสนับสนุนการรบพิเศษ หรือ Special Forces Support Group โดยมีภารกิจในการสนับสนุนการปฏิบัติการพิเศษนั่นเอง
สัญลักษณ์ของ Special Forces Support Group(SFSG) |
SFSG ในภารกิจที่อิรัก |